Wisanugorn Nam
หนึ่ง เพื่อเป็นการประเมินว่าพวกเขาเชื่อมโยงแนวคิดที่มีอยู่ไปสู่สถานการณ์หรือปรากฎการณ์อย่างไร และครูควรจะเสริมส่งสิ่งใด
สอง ด้วยลักษณะพิเศษของชั้นเรียนที่มีเพื่อนนักเรียนกลุ่มที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษในการอ่าน การเขียน ได้มีช่องทางที่เหมาะสมในการส่งผ่านและสื่อสารแนวคิดออกมาได้
และสาม เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้โน้มน้าวเพื่อนๆ ด้วยแนวคิดของตนเอง และสามารถป้องกันแนวคิดของตนจากแนวคิดอื่นๆ ได้ เรามีหลากหลายช่องทางที่จะเข้าใจแนวคิดของนักเรียนที่เขาแสดงตัวแทน (representation) ออกมา
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ศึกษาจำนวนหนึ่งชี้ความจำเป็นที่ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนแสดงตัวแทนความคิดที่มากกว่าหนึ่งประเภท ต่อหนึ่งสถานการณ์ที่นักเรียนสนใจอยู่ เพราจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้สอนเองที่จะทำความเข้าใจแนวความคิดของผู้เรียน และอีกประการผู้เรียนบางคนอาจจะมีข้อจำกัด มีความยากลำบากที่จะแสดงผ่านตัวแทนความคิดประเภทใดประเภทหนึ่ง (ดังที่จั่วหัวไว้แล้วนั้น) นั่นคือ เราอาจทำความเข้าใจแนวคิดของผู้เรียน (concept) ต่อปรากฎการณ์ (phenomenon) ผ่านตัวแทนความคิด (mental representation) แน่นอนว่าเมื่อได้ดูชิ้นงานของผู้เรียน พบว่าพวกเขามีแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงแตกต่างไปจากแนวคิดวิทยาศาสตร์ด้วย (Scientific conception) เมื่อมาถึงตรงนี้ด้วยเป้าหมายการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ก็จะบอกเราว่าควรปรับเปลี่ยนแนวคิดผู้เรียนที่เป็นอย่างอื่น (Alternative conception) ให้เป็นแนวคิดวิทยาศาสตร์เสีย และคำถามคือทำอย่างไร?
ก่อนอื่นเราน่าจะยอมรับได้ว่าการนำข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมากองต่อหน้าผู้เรียน แล้วพวกเขาปรับเปลี่ยนแนวคิดโดยดุษฎีนั้นเป็นเรื่องแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้นในนาม ความเชื่อ (beliefs) ที่จะคอยกำหนดท่าทีต่อข้อเท็จจริงที่กำลังเผชิญอยู่ให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ กระบวนการของการปรับเปลี่ยนเรียนรู้จึงไม่ได้เป็นเส้นตรง และไปข้างหน้าถ่ายเดียว
ยกตัวอย่างไม่นานมานี้ มีนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งอธิบายการขึ้นตกของดวงอาทิตย์ว่า เมื่อเวลาสายันห์คล้อยเคลื่อนเลื่อนมา ดวงอาทิตย์จะลับลาด้วยการตกลงไปในน้ำ ทั้งๆที่ เขาผ่านรายวิชาโลก ดาราศาสตร์และอวกาศมาแล้ว เเละในรายวิชานั้นผู้สอนได้นำเสนอข้อเท็จจริง และหลักฐานประกอบจำนวนหนึ่ง เมื่อซักถามต่อไปก็พบว่าเขาก็จดจำสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้ จะเห็นได้ว่าความเชื่อมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้อย่างควรใส่ใจ
นักวิทยาศาสตร์ศึกษาที่สนใจประเด็นนี้ ชวนให้มองย้อนไล่เลี่ยงถึงลำดับการประวัติศาสตร์การพัฒนาความรู้วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นเส้นทางของการต่อสู้ ต่อรองทางสังคม การสร้างข้อโต้แย้งและนำไปสู่การถกเเถลงอย่างแพร่หลาย หลายครั้งที่หลักฐานที่แน่นหนากลับพ่ายแพ้ต่อความเชื่อที่เหนียวแน่น เช่น แนวคิดเกี่ยวกับโลกและระบบสุริยะ แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ เป็นต้น ผู้เรียนก็จึงควรได้รับโอกาสเช่นนั้น คือ พวกเขาได้สร้างแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศขึ้นมาด้วยทั้งกระบวนการเชิงปัจเจก (individaul) และเชิงสังคม (collective) ผ่านการเจรจาต่อรองความหมายกับกลุ่มเพื่อนด้วย
ที่มา
https://web.facebook.com/wisanugorn/posts/619326498400968