การศึกษาไทยว่าด้วยเรื่องของช่องคลอดแบบวนลูป

คะวะยะ พลเรียน
“…การศึกษาเกือบทั้งหมด มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เป็นสิ่งที่มุ่งส่งเสริมกำลังฐานะของชนบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเชื้อชาติหรือศาสนา หรือแม้แต่กลุ่มสังคม ในการแข่งขันกับชนกลุ่มอื่นๆ มูลเหตุจูงใจเช่นว่านี้เป็นส่วนสำคัญที่กำหนดลงไปว่า จะสอนวิชาอะไรกันบ้าง จะให้ความรู้ในเรื่องอะไร ไม่ให้รู้ในเรื่องอะไร ตลอดจนตัดสินว่า นักเรียนควรจะได้รับการถ่ายทอดอุปนิสัยใจคอเช่นไร...
(Principles of Social Reconstruction, 1916)

โรงเรียนในอดีต (หรือแม้กระทั่งในปัจจุบัน) มักจะมีการคัดเลือกผู้เรียนเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนของรัฐ เช่น การส่งลูกท่านหลานเธอไปเรียนในโรงเรียนที่ชื่อเสียงหรือการไปเรียนที่ต่างประเทศ แม้กระทั่งตัวสังคมไทยมักจะคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องของผู้ชายเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อก็คือว่า ในสังคมใดที่มีการแบ่งแยกชนชั้น การเข้ารับการศึกษาก็จะไม่มีความเท่าเทียมกัน ไม่นับถือในความสามารถหรือคุณภาพในตัวผู้ที่จะรับการเข้าการศึกษาแต่ก็จะไปดูที่ฐานะทางเศรษฐกิจเสียมากกว่า เช่น ลูกหลานคนร่ำรวยก็จะคิดว่าตนเองนั้นดีกว่า เหนือกว่ากว่าลูกหลานคนยากจน และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือลูกหลานคนยากจนก็จะคิดว่าตนเองนั้นด้อยค่ากว่าลูกหลานคนร่ำรวย ซึ่งเป็นการสร้างความคิดใหม่ ความเชื่อใหม่ในหมู่คนยากจน ดังนั้นการศึกษาที่ดีก็ควรจะทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจหรือความอยุติธรรมที่ตนเองนั้นตกเป็นเหยื่อทางสังคมอยู่ เมื่อมีการแบ่งแยกชนชั้น การศึกษาก็ย่อมมีปัญหาที่ความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก คือ การสร้างความยิ่งใหญ่ในหมู่ผู้มีฐานะและการสร้างวาทกรรมอย่างไร้เหตุผลในหมู่ผู้ยากจน

การสอนคือการเลือกสถานการณ์ที่ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างง่ายขึ้น มีการวางและจัดสรรตำแหน่งอย่างแน่นอนและมีเงื่อนไข ตัวผู้เรียนเองก็จะต้องผ่านการทดสอบเพื่อที่จะเลื่อนขั้นหรือไปสู่ระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งโรงเรียนเองก็จะต้องจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับหลักสูตรที่ทำให้สามารถเลื่อนขั้นได้ การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลเพราะโรงเรียนไม่ได้จัดการเลื่อนขั้นหรือระดับชั้นที่ไม่ได้เลือกสรรจากความสามารถและคุณภาพของตัวผู้เรียน นั้นก็แสดงให้เห็นถึงการปรากฏตัวของชนชั้นที่ถูกกำหนดขึ้นโดยตัวโรงเรียนเอง โดยที่ไม่ได้ดูจากความสามารถหรือคุณภาพของตัวผู้เรียนโรงเรียนในปัจจุบันไม่ได้ให้เสรีภาพหรือคุณภาพทางการศึกษาแต่อย่างใด เพราะโรงเรียนต้องการจะสอนให้บุคคลปรับตัวเข้ากับกรอบหรือกฎเกณฑ์อันเป็นมาตรฐานในการควบคุมของสังคม (รัฐ) ทำให้บทบาทของการศึกษาเป็นเครื่องมืออำนาจรัฐไปโดยปริยาย

          โรงเรียนก็คงเปรียบเสมือนกับช่องคลอดที่มีสามารถในการตั้งครรภ์ได้ และตัวผู้เรียนเองก็เปรียบเสมือนกับตัวอสุจิที่ต้องแหวกว่ายต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ทั้งผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า ทั้งความแข็งแกร่งทางฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ผู้ที่มีโอกาสเข้าไปในระบบการศึกษาที่มากกว่าด้วยเหตุผลต่างๆ แม้กระทั่งชนชั้นทางสังคมที่ทำให้มีการศึกษาได้ง่ายกว่า เมื่อมีโอกาสเข้าไปในช่องคลอดแล้ว โรงเรียนก็จะทำการผสมผสานองค์ความรู้ต่างๆ ผลิตชุดความรู้ต่างๆ ทำให้ตัวผู้เรียนมีความคิดต่างๆนานา แต่ที่สำคัญก็คือสร้างอุปนิสัยใจคอ สร้างกระบวนการทางความคิดต่างๆ เพื่อทำให้สะดวกต่อการปกครองหรือการครอบงำของรัฐ โดยอาศัยระยะเวลาแล้วแต่ตามศักยภาพของโรงเรียนหรือตัวผู้เรียนเองซึ่งก็มีความแตกต่างกัน (โดยระยะเวลาตามครรภ์ผู้หญิงไทยก็ประมาณ 9 – 12 ปี) และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารก โรงเรียนก็จะบีบผู้เรียนออกมาสู่โลกภายนอกที่มีสภาพทางสังคมที่มีความแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือ การที่จะต้องเจอกับการขัดเกลาทางสังคมอีก ทั้งๆที่ก็ผ่านมาในระบบการศึกษาในระบบโรงเรียนก็ผ่านการขัดเกลามาอย่างยาวนานแต่ยังไม่พอสำหรับชีวิตภายนอกอยู่ดี เช่น การรับน้องในมหาวิทยาลัย รับน้องโรงเรียนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย รับน้องจังหวัด รับน้องภายในกลุ่มองค์กรต่างๆ อย่างไร้เหตุผล ไร้ความเป็นมนุษยธรรม และไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งสุดท้ายแล้วกระบวนการความสัมพันธ์ของการตั้งครรภ์ก็เป็นแบบเดิม คือ การผลิตซ้ำออกมาแล้วก็วนเวียนซ้ำๆ จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ แล้วเมื่อไหร่มันถึงจะจบ?