เล่าเรื่องโดย
ท็อปพลเรียน
จิฑฑุกฤษณมูรติ (JidduKrishnamurti) เป็นนักปราชญ์ที่สำคัญของอินเดีย เขาเกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาฮินดู
ณ กฤษณะมูรติเป็นเด็กช่างฝัน หลงไหลชื่นชมความงามในธรรมชาติและเครื่องยนต์กลไกต่าง
ๆ แต่กลับไม่ค่อยสนใจศึกษาเล่าเรียนในระบบ
เขามักจะสอบตกเสมอในวงเสวนาครั้งนี้ทางผู้เล่าได้นำเสนอประเด็นสำคัญไว้3
ประเด็นดังนี้
1.The Right Kind
of Education (การศึกษาที่ถูกต้อง)กฤษณะมูรติ มองสิ่งที่เราเรียกว่า การศึกษาทุกวันนี้
เป็นเรื่องของการสะสมข้อมูลและตำรา
ซึ่งการศึกษาเช่นนี้ช่วยให้เราหนีจากตัวเองได้อย่างแนบเนียนในทรรศนะของเขา มองว่า
การศึกษาไม่ได้หมายถึง
การตระเตรียมชีวิตบางช่วง แต่เกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อมทั้งหมดของชีวิตมนุษย์
ขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่
มุ่งให้การศึกษาเพื่อเตรียมคนเข้าสู่อาชีพการงาน ซึ่งในสภาวะเช่นนี้
ความดีงาม อาจไม่ผลิบานได้อย่างเต็มที่ การศึกษาแบบนี้จะทำให้ผู้คนใส่ใจแต่ความมั่นคงส่วนตน
ไม่สนใจว่าคนอื่นๆจะเป็นอย่างไร ตราบใด
ที่ตนเองปลอดภัยอยู่แต่ถึงกระนั้น เขายอมรับว่าอาชีพและการประกอบวิชาชีพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบัน
แต่การศึกษาจะต้องสร้างสมดุลในเนื้อหาวิชาการ
และความรับผิดชอบต่อมนุษย์ชาติให้เกิดกับผู้เรียน
การศึกษาในปัจจุบันนับว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะเน้นเทคนิคทางวิชาการมากเกินควร
รังแต่จะทำให้เรามีจิตใจหยาบกระด้างอำมหิตมากขึ้น กลายเป็นต้นเหตุสงคราม
การศึกษาที่ดีย่อมไม่ผูกพันกับแนวคิดหรืออุดมการณ์ใด
การศึกษาที่ดีจริงจะช่วยให้บุคคลมีวุฒิภาวะแก่กล้าและเป็นอิสระซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าครูใช้วิธีบังคับซึ่งทำให้เด็กกลัว
และเด็กเองก็จะเกิดความขัดแย้งในตัวเขาอย่างไม่สิ้นสุดดังนั้นแล้ว การศึกษาไม่ควรส่งเสริมให้บุคคลใดปฏิบัติตามอย่างคนส่วนใหญ่ในสังคมหรือทำอะไรตามๆกันโดยไม่ได้คิด
แต่ควรช่วยให้เขาค้นพบคุณค่าที่แท้จริงด้วยการไตร่ตรองอย่างปราศจากอคติและรู้เท่าทันตนเอง
2.Parents and Teachers (พ่อแม่และครู)ในสภาพความเป็นจริงนั้น
สติปัญญาของผู้ให้การศึกษาสำคัญยิ่งกว่าความรู้เกี่ยวกับวิธีการสอนใหม่ๆมากนักครูที่ดีจะต้องเข้าใจเด็กตามสภาพที่เขาเป็นอยู่จริงโดยไม่ปั้นแต่งให้เขาเป็นไปตามอุดมคติที่เราคิดว่าควรจะเป็นการจับเด็กมาใส่กรอบอุดมคติเท่ากับส่งเสริมให้เขายอมเชื่อฟังเรื่อยไป
เด็กจะเกิดความกลัวอุดมคตินี่แหละเป็นตัวอุปสรรคที่ทำให้เราไม่เข้าใจเด็ก
และทำให้เด็กไม่เข้าใจตัวเองยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเด็ก คนหนึ่งพูดปด
จะมีประโยชน์อะไรถ้าครูมัวแต่จะชี้ให้เด็กเห็นอุดมคติของความสัตย์ เราควรจะค้นเหตุให้พบว่าทำไมเด็กจึงพูดปด
การให้รางวัลหรือลงโทษนั้นยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
การทำอะไรโดยอ้างเอาสิ่งอื่นมาบังหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการทำเพื่อประเทศชาติหรือพระเจ้าก็ตาม ย่อมทำให้เกิดความกลัวซึ่งความกลัว
ไม่อาจเป็นรากฐานก่อเกิดการกระทำที่ถูกต้องได้เลย ถ้าเราอยากสอนให้เด็กรู้จักคำนึงถึงคนอื่น
ก็อย่าใช้ความรักเป็นสินบน แต่จงอดทนอธิบายวิธีการคิดพิจารณาแง่มุมต่างๆเด็กจะไม่รู้จักเคารพผู้อื่นเลย
ถ้าเราใช้รางวัลเป็นเครื่องล่อใจ
เพราะเด็กจะไพล่คิดว่าสินบนหรือการลงโทษสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึกเคารพนับถือพ่อแม่ที่อยากจะเข้าใจลูกของตนจริงๆ
จะไม่มองลูกผ่านม่านอุดมคติใดๆเลย พ่อแม่ที่รักลูกจะเฝ้าสังเกตลูก
เรียนรู้ว่าลูกมีลักษณะอย่างไร ถ้าพ่อแม่บังคับลูกให้เป็นไปตามอุดมคติของตน ใช้ลูกเป็น
เครื่องมือทำให้ความทะเยอทะยานของตนสำเร็จ
คิดอยากให้ลูกเป็นนั่นเป็นนี่ ก็แปลว่า ไม่ได้รักลูกจริง ดังนั้น ครูและพ่อแม่จะปลุกเร้าจิตใจเด็กให้ตื่นตัวใฝ่รู้รอบลึก ใฝ่วิจารณ์อยู่เสมอได้ก็ด้วยวิธีเดียวคือ
ส่งเสริมให้เด็กตั้งข้อสงสัยในหนังหนังสือที่อ่านหรือจะเป็นไรก็ตาม
ที่ถือกันอยู่ในสังคม ว่ามันมีคุณค่าจริงหรือ
3.The School (โรงเรียน)กฤษณะมูรติ
เห็นว่าโรงเรียน ประสบความล้มเหลวยิ่งเป็นสถาบันใหญ่โต ซึ่งกำลังขยายกิจการ
มีท่าว่าจะประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ มีนักเรียนเป็นร้อยๆ
ก็ยิ่งผลิตได้แต่คนเก่งมีความรู้แต่สนใจชีวิตเพียงเปลือกนอกการสร้างสถาบันที่ใหญ่โตและจ้างครูที่ยึดติดระบบแทนที่จะเป็นคนมีจิตใจที่ตื่นตัว ก็ยิ่งแสดงชัดว่าเราเพียงแต่ส่งเสริม การสะสมข้อเท็จจริง
พัฒนาประสิทธิภาพและสร้างนิสัยการตอบสนองโดยไม่รู้จักคิดการสอนคนคราวละมากๆ
ไม่ช่วยให้ผู้เรียนสร้างค่านิยมพื้นฐานอะไรได้เลย ต้องค่อยๆศึกษาทำความเข้าใจปัญหา
ความสามารถของเด็กเป็นรายคนจึงจะได้ผลถ้าเรายังถือว่าสถาบันสำคัญที่สุด
เราก็จะไม่เห็นเด็กสำคัญ ครูดีจะให้ความสำคัญกับเด็กแต่ละคน
มิใช่คิดถึงแต่ปริมาณเด็กในชั้น