เล่าเรื่องโดย
พล พลเรียน
- ป้ามล หรือ ทิชา ณ นคร
เป็นผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก
การเข้ามาเข้าป้ามลในที่แห่งนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวิธีคิดและแนวทางการปฏิบัติต่อเด็กที่สังคมเรียกว่า
เด็กดื้อ ให้กลายเป็น เด็กที่กลับมายืนหยัดความเป็นมนุษย์ได้ในสังคม
ในการนำเสนอวันนี้ ผู้นำเสนอได้นำเสนอประเด็นไว้ดังต่อไปนี้
1.คุณอำนาจ vs คุณอำนวย ในช่วงแรกที่ป้าเข้ามาใหม่
บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วย “คุณอำนาจ” การเป็นคุณอำนาจมันได้สร้างความสัมพันธ์แบบแนวดิ่งระหว่างผู้มีอำนาจกับผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจ
ซึ่งจะส่งผลต่อความอึดอึดและปิดช่องทางการสื่อสาร
เป้าหมายของป้ามลจึงต้องการเปลี่ยนให้คุณอำนาจกลายเป็น “คุณอำนวย”
ต้องสร้างผู้ใหญ่ที่รับฟังเด็ก ให้เกียรติเด็ก
ป้าจึงประกาศแนวคิดเบื้องต้นว่า “ บ้านกาญจนาฯ ไม่ใช่คุก เยาวชนไม่ใช่นักโทษ
เจ้าหน้าที่ไม่ใช่ผู้คุม และบ้านนี้ไม่มีรั้ว
แต่สิ่งที่จะทำให้เด็กไม่หนีคือความเชื่อใจ”
2.เด็กมีความแตกต่างโดยธรรมชาติ เด็กที่เข้ามาอยู่ในบ้านแห่งนี้คือผู้แพ้จากการศึกษากระแสหลัก
ให้คุณค่ากับคนก่งหรือบุคคลสอบเข้ามหาลัยได้
แต่โรงเรียนกลับไม่เคยยกย่องผู้ที่ประสบผลสำเร็จในนอกระบบบ้าง รัฐทุมทุนกับการศึกษาเพื่อสร้างคนเก่ง
แล้วทิ้งให้เด็กจำนวนมากกมาย
ป้าเชื่อว่าเด็กคนหนึ่งไม่ได้เก่งไปทุกเรื่องหรือโง่ไปเสียหมด
แต่เราต้องหาสิ่งที่เขาทำได้ดี แล้วส่งเสริม เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าเด็กคนใดดีกว่ากัน
เพราะเด็กนั้นมีความหลากหลาย และครูจะต้องทำให้ห้องเรียนเอื้อต่อโอกาสพัฒนาศักยภาพ
3.วินัยวัดกันที่ไหน การปล่อยให้เด็กๆใช้ดุลยพินิจในการแต่งตัวตัวเอง
การแต่งชุดนักโทษ ตัดผมเกรียน คือการประกาศความเป็นนักโทษเวลาออกไปข้างนอก
ยิ่งสร้างความอับอาย ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ระเบียบวินัยไม่จำเป็นต้องวัดผ่านเสื้อผ้าหน้าผม วินัยจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กเชื่องเสียจนหมดความคิดของตัวเอง ป้าตั้งคำถามว่า เราสามารถวัดความเป็นเด็กดี
โดยไม่ต้องก้มลงกราบได้หรือไม่
4.ขจัดร้าย ไม่ใช่ขยายร้าย เวลาผู้ใหญ่มองเด็ก
ไม่ว่าเด็กจะมีด้านสว่างอยู่มากเพียงใด
แต่จุดสีดำหรือความผิดเล็กๆน้อยๆ มักเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่เอาผิดกับเด็กเสมอ การมองแต่ภาพลบ
เท่ากับเป็นการตอกย้ำตีตราเขา ในทรรศนะของป้ามองว่า คนที่ประสบผลสำเร็จ
ส่วนใหญ่เพราะผู้ใหญ่เล่นด้านดีกับเขามาตลอด ทำให้ด้านสว่างเจริญงอกงาม
และคำพูดของพ่อแม่และครูจึงมีส่วนสำคัญในการส่งสารถึงลูก การผลิตซ้ำในด้านมืดเขาก็จะสาปตัวเอง
กฎระเบียบหล่อหลอมให้ครูเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจับผิด
และทำให้เด็กท้อกับการไปโรงเรียน
และท้ายสุดโรงเรียนก็ไม่น่าศรัทธา ความจริงสำหรับผู้ใหญ่
ยิ่งเราไม่ใช้อำนาจ เรายิ่งมีอำนาจ ยิ่งเราให้เกียรติเขา เขาก็ยิ่งเกรงใจเรา การลงโทษของโรงเรียนไม่ได้ทำเพื่อแก้ปัญหา
แต่ลงโทษเพื่อรักษาชื่อเสียงของโรงเรียนมากกว่า
การขัดจัดร้ายไม่ใช้การปล่อยด้านร้ายลอยนวล ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รับผลจากกระทำ
แต่เราต้องลงโทษผ่านกติกาที่เด็กมีส่วนร่วมสร้างขึ้น เมื่อนั้นเขาจะสำนึกผิด
และยอมรับผลของมัน
5.ขยายดี ไม่สลายดี เด็กมีสองด้าน
ผู้ใหญ่ต้องหาด้านสว่างของเด็กให้เจอ และขยายมัน หากเราหาด้านดีของเด็กไม่เจอ
เราควรสร้างสถานการณ์ที่บังคับให้ความดีของเผยออกมา การออกแบบกิจกรรมดังกล่าว
ต้องทำให้เด็กอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วยตัวเองเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วเท่ากับ จิตบังคับ
เหตุการณ์ของความทุกข์โศกเป็นตัวสร้างการมีส่วนร่วม
ปลุกความสนใจในชีวิตคนอื่น และมันจะทำให้เขาฟื้นฟูความเป็นมนุษย์
และกลับไปจูนกับกระแสของสังคม